มึนหัว – แสบตา – เจ็บจมูก – ปวดใจ

ไม่รู้มันเป็นอะไรกันนักกันหนากับเรื่องการหานักเตะใหม่มาเข้าทีมเนี่ย?? พอปิดฤดูกาลทีหรือผู้เล่นตัวจริงฟอร์มไม่ดีทีนึงก็เรียกร้องกันเหลือเกินกับนักเตะหน้าใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่ ผมถามหน่อยเถอะ เรากำลังถูกสื่อจูงจมูกให้สนใจเรื่องนี้มากไปหรือเปล่า?? จริงอยู่ว่ามันเป็นความเคลื่อนไหวของทีมที่เรารัก แต่การมึนงง สับสน เข้าใจผิดทั้งหลายนี่มันใช่สิ่งที่ควรจะเป็นหรือเปล่า มันเกินพอดีหรือเปล่า แล้วสิ่งที่เราแสดงออกมันยุติธรรมกับผู้เล่นปัจจุบันที่เรามีแล้วหรือ
ยกตัวอย่างง่ายๆ กับตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกที่มีเจ้าหัวแดง พอล สโคลส์ ยืนค้ำอยู่ เห็นว่าเรียกร้องกันจังกับพวกจิ้มทะลุช่องเนี่ยทั้งที่ตั้งแต่จบยุคคันโตน่าเราก็ไม่มีมิดฟิลด์ประเภทนี้ เพราะจริงๆ แล้วสโคลส์ก็ไม่ใช่ตัวรุกที่จ่ายบอลพวก killer pass เป็นหลักนะ เพราะหมอนี่มีเครื่องหมายการค้าเรื่องการทำประตูมากกว่า แต่เจ้าหัวแดงก็ยังเล่นได้ยอดเยี่ยมมาตั้งหลายฤดูกาลทั้งที่ไม่ใช่พวกจิ้มทะลุ น่าเสียดายที่ฤดูกาลที่แล้วหมอนี่ต้องลงไปช่วยเกมรับแถวกลางสนามบ่อยครั้งเลยไม่ได้แสดงฝีมือ จนถูกมองว่าถึงเวลาร่วงโรยและต้องถอยให้หน้าใหม่ไฟแรงเข้ามาแทน ทั้งที่จริงๆ แล้วความสามารถที่สโคลส์มีมันไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ต่างหาก จังหวะนี้เลยอยากถามว่าแล้วพวกจิ้มทะลุนี่จำเป็นกับทีมเรามั้ย??
สิ่งที่สำคัญอยู่ที่แผนการเล่นของป๋ามากกว่า เพราะถ้าเหลือบตาดูทีมชั้นนำในพรีเมียร์รอบตัวเราก็หาพวก killer pass ยากเต็มทีทำไมเขาถึงเล่นกันได้แถมทำประตูได้เยอะด้วย นั่นเพราะระบบการเล่นที่ไม่ใช่ 4 – 5 – 1 แบบทีมเราไงที่ทำให้สกอร์ไม่ไหลเท่าที่ควร ในเมื่อกองหน้าถูกดักทางง่ายทำให้บอลมาไม่ค่อยถึงแล้วมันจะทำประตูได้ยังไง?? เทียบกับตอนที่เล่นหน้าคู่ สมิธ – รูนี่ย์ สิทำไมช่วงนั้นจำนวนประตูถึงได้ไหลยิ่งกว่าท่อประปาแตก นั่นเพราะเราใช้ 4 – 4 – 2 แปลว่าการเซทบอลไปตามช่องหาจังหวะเข้าทำซึ่งถือเป็นเบสิคของฟุตบอลยังใช้ได้ผลอยู่เสมอ แพ้ชนะตัดสินกันที่กึ๋นของกุนซือ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราปวดกบาลกันมากที่สุดคือเรื่องจำนวนประตูที่น้อยผิดปกติทำให้ไม่สามารถเก็บ 3 แต้มได้อย่างต่อเนื่อง สาเหตุจึงไม่ใช่ความผิดพลาดของตัวผู้เล่นเพียงอย่างเดียว แต่ใครหลายคนกลับกำลังพิพากษาว่านักเตะของเราเล่นไม่ไหวแล้วต้องการผู้เล่นหน้าใหม่มาทดแทนซึ่งมันไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่เลย ไม่ว่าจะเป็น พี่รุด ปืนฝืด สโคลส์วิ่งไม่ไหวแล้ว ไอ้หนูโด้ จ่ายบอลไม่ได้เรื่อง สมิธยิงไม่คม หรือแม้กระทั่งเจ้าสุกรโลกันต์รูนี่ย์ เอาแต่จ้องจะฟาดแม่ยาย เฟอร์กี้ จนสมาธิไม่อยู่กับเกม (อันหลังไม่เกี่ยวเฮะ) หรือว่าอะไรก็ตามที่จะนำมาซึ่งข่าวการย้ายทีมของนักเตะ นั่นล่ะเราถูกแหกตาทั้งนั้น ไม่ปวดตากันบ้างเหรอไง??
กลับมาทบทวนกันใหม่ในมุมมองกว้างๆ :ไอ้พวกที่เรากำลังปวดกบาลทั้งหลายเหล่านี้มันเพราะสื่อทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?? ลองคิดถึงหลักความจริงดูว่าถ้าหนังสือพิมพ์กีฬาที่เสนอเรื่องฟุตบอลเป็นหลักถ้าไม่มีเรื่องผลการแข่งขัน ไม่มีบทสัมภาษณ์นักเตะ ไม่มีการโวยวายของผู้จัดการทีม เช่นเดียวกับขณะนี้ซึ่งเป็นช่วงปิดฤดูกาลแล้วมันจะเอาอะไรมาขายให้มีคนซื้อ เพื่อความอยู่รอดพวกสื่อทั้งหลายก็ละทิ้งสิ่งที่เรียกว่าจรรยาบรรณแล้วหันมาสร้างกระแสข่าวลือเรื่องการย้ายทีมของนักเตะให้มันรุนแรงกว่าเดิมเพื่อกระตุ้นยอดขาย ผูกเรื่องโน้นโยงเรื่องนี้ไปทั่วสร้างความวุ่นวายสับสนกันยกใหญ่ แล้วเหยื่อจะเป็นใครล่ะนอกจากผู้อ่านตาดำๆ หรือตาน้ำข้าวที่จ่ายเงินให้พวกมันโกหกไปวันๆ อย่างพวกเรา
อยากให้เรายึดหลักความจริงเรื่องการซื้อขายตัวนักเตะกันหน่อย ประมาณว่าไม่ชูเสื้อไม่เชื่อหรอก ไม่งั้นแล้วเราก็ต้องมึนตึ้บเนื่องจากโดนปั่นหัวหรือโดนแหกตาอยู่ร่ำไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมไม่ได้ปฏิเสธการจินตนาการของแต่ละคนที่ว่าถ้าเรามีนักเตะคนนั้นเราน่าจะเก่งขึ้นอย่างงั้นอย่างงี้นะ เพราะนั่นเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่เรามีสิทธิจะฝันกันไป สิ่งที่ผมเจ็บใจมีเพียงอย่างเดียวคือเพื่อนๆ ที่มีตราประทับอสูรถือสามง่ามเช่นเดียวกับผมถูกไอ้พวกบ่างช่างยุทั้งหลายปั่นหัวด้วยการปั้นน้ำเป็นตัวจนไม่รู้ว่าอะไรคือความจริงอะไรคือข่าวลือ ให้ความยุติธรรมกับนักเตะเราบ้างอย่าขืนใจกันด้วยการจะเอาคนอื่นมาแทนทั้งที่เด็กของเราก็ยังมีศักยภาพคับกล่อง อย่าให้ถูกสื่อทำร้ายให้เรามึนหัว – แสบตา – เจ็บจมูก – ปวดใจอีกต่อไปเลยครับ
“เราอาจอยู่ใกล้เกินไปจนไม่เห็นข้อดีของคนที่เรามีอยู่”
baki

2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC

Related Posts

Max